• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - damonshoppu

#241


เมื่อพูดถึงวิธีที่ช่วยให้การยึดเกาะสีกับผนังมีประสิทธิภาพมากที่สุด มีอายุการใช้งานดีที่สุด คงสีสวยตลอดก็ต้องใช้สีรองพื้นเข้ามาช่วย กระนั้นมือใหม่อาจจะเกิดความสงสัยเพราะสังเกตดูแล้วมีทั้งแบบปูนเก่า และแบบปูนใหม่ ทำให้อยากรู้ว่าทั้ง 2 มีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อการใช้งานที่ถูกต้องเหมาะสม เพราะหากเราไม่ทาสีรองพื้นที่ดีมีโอกาสเกิดปัญหาหลายอย่างกับผนังบ้านตามมาภายหลังได้

ความแตกต่างของสีรองพื้นทั้งแบบเก่า VS แบบใหม่

1. สีแบบเก่า

อย่างแรกที่เราจะพูดถึงก็คือการทาสีรองพื้นปูนเก่าที่ก็คือการทาสีผนังที่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน เคยมีสีทามาก่อนแล้ว เพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะพร้อมช่วยป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่ก่อนหน้าเคยเกิดได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็น การเกิดรอยแตก การเกิดเชื้อรา ฯลฯ แต่ก่อนที่จะเริ่มต้นทาได้นั้นก็ต้องทำความสะอาดผนังบ้านให้เรียบร้อยก่อนเสมอ ไม่ได้จะทาทับปูเก่าไปเลยโดยตรง เพราะผนังปูนเก่านั้นมีสิ่งสกปรกต่าง ๆ เกาะอยู่ ส่งผลต่อการยึดเกาะของสีใหม่ที่จะทาไปได้ หากพบว่าผนังมีคราบตะไคร่ มีรอยด่าง คราบมันเกาะติดตามผนัง ควรมีการทำความสะอาดทันที หรือหากพบว่าสีเดิมหลุดลอกก็ต้องขูดเอาสีเก่าออกหมดแล้วจึงทารองพื้นสีใหม่

2. สีแบบใหม่

ต่อมาเป็นความแตกต่างของสีรองพื้นปูนใหม่โดยที่จะเหมาะกับการใช้ทาผนังปูนที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ เลย เพิ่มทำบ้านเสร็จ หรือมีการฉาบปูนใหม่ มีการต่อเติม โดยที่สีใช้รองพื้นของปูนใหม่โดยเฉพาะ สำหรับเหตุผลที่ต้องใช้สีที่รองพื้นปูนใหม่เลยเพราะว่าหลังจากที่ทำการฉาบเสร็จสิ้นแล้ว ผนังส่วนใหญ่จะมีคราบด่างเกิดขึ้น และปูนที่เพิ่งฉาบเสร็จก็จะมีความชื้นออกมาด้วย เมื่อไม่ได้ทาสีที่เป็นรองพื้นก่อนพอทาสีลงไปก็จะเป็นปัญหาขึ้นทันที ดังนั้น จึงอยากแนะนำให้ทาสีที่ใช้รองพื้นก่อน 1 รอบ เพื่อป้องกันบรรดารอยด่างต่าง ๆ พร้อมเพิ่มความสามารถในการยึดเกาะทำให้สีแข็งแรงมากขึ้นกว่าเดิมระหว่างผนังที่เพิ่งสร้างเสร็จกับสีทาพื้นหน้าที่เป็นสีจริง ๆ ในการใช้งาน

ความแตกต่างของสีรองพื้นทั้งแบบเก่าและแบบใหม่นั้นหลังจากที่ศึกษาแล้วก็หวังว่าจะเข้าใจและพร้อมเลือกใช้งานร่วมกับผนังได้อย่างเหมาะสม ตอบโจทย์มากขึ้น กระนั้นในการทาสีที่ใช้รองพื้นจะแบบเก่าหรือแบบใหม่ควรศึกษาวิธีการใช้เสมอ อย่างสีแบบใหม่ควรทาหลังฉาบเสร็จไปแล้ว 30 วัน ส่วนสีแบบเก่าต้องจัดการสิ่งสกปรก ฝุ่นต่าง ๆ ออกก่อน เมื่อเข้าใจวิธีการใช้งานก็จะได้สีผนังที่สวยงาม อายุยาวนานมากขึ้น
#242


ใครจะรู้ว่าโต๊ะทำงานนั้นส่วนใหญ่มีความสกปรกมากกว่าฝารองนั่งชักโครกมากถึง 400 เท่า และก็มีบางคนที่นั่งทานอาหารที่โต๊ะทำงานโดยไม่ทำความสะอาดหลังกินเสร็จด้วย ส่งผลให้เกิดสิ่งสกปรกมากมาย ยิ่งช่วงนี้โควิด–19 กำลังระบาดหนักยิ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยงติดเชื้อได้ ดังนั้น การจัดโต๊ะให้เหมาะสมถูกหลักจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม

หลักการจัดโต๊ะทำงานให้ถูกสุขลักษณะที่สุด

จากผลวิจัยที่ผ่านมาพบว่าบนโต๊ะที่ใช้ทำงานของเรานั้นมีแบคทีเรียมากกว่า 10 ล้านตัว โดยที่ 7,500 ตัว ซุกซ่อนอยู่ที่คีย์บอร์ด ซึ่งแบคทีเรียที่มีเกิดมาจากมนุษย์เรานี้เอง ที่แม้จะทำความสะอาดแล้วแต่โอกาสที่แบคทีเรียจะกลับมาก็มีสูงภายในไม่กี่วัน โดยเฉพาะช่วงโควิด–19 ที่แพร่กระจายไวมาก ๆ การดูแลจัดโต๊ะให้ถูกสุขลักษณะจึงสำคัญที่สุด

1. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม

หากเป็นโต๊ะคอมพิวเตอร์การวางจอคอมพิวเตอร์ควรอยู่ในระดับสายตา ระยะห่างจากจอควรอยู่ที่ 0.4 – 0.50 เมตร ส่วนคีย์บอร์ดและเมาส์นั้นจะอยู่ในระดับต่ำลงเล็กน้อย ขณะที่มีการพิมพ์งานก็ไม่ต้องยกไหล่ หรืองอหลังต่ำเกินไป

2. ควรมีแสงสว่างให้เพียงพอ

สิ่งต่อมาที่เราสามารถจัดการให้ถูกสุขลักษณะได้อีกก็คือการเพิ่มแสงสว่างให้เพียงพอ โดยให้เลือกโคมไฟที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย ๆ ปรับทิศทางได้ รวมถึงใช้แสงอ่อน ๆ เป็นการถนอมสายตาของเราได้ดีมากขึ้น

3. เก้าอี้ที่มีควรเหมาะกับโต๊ะ

แม้จะเป็นโต๊ะธรรมดา หรือโต๊ะปรับระดับได้ก็ตาม ยังไงก็ต้องมีการใช้งานคู่กับเก้าอี้ สิ่งที่สำคัญคือการเลือกให้เหมาะสม โดยที่ต้องเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะการนั่ง ปรับเก้าอี้ให้สูงเหมาะกับโต๊ะทำงาน อย่าให้ขาลอย หากขาลอยก็เอาอะไรมาหนุนเท้าไว้

4. ทำความสะอาดโต๊ะ

สุดท้ายก็คือการทำความสะอาดโต๊ะง่าย ๆ โดยเริ่มจากเอาทุกอย่างออกจากโต๊ะแล้วปัดฝุ่น ทำความสะอาดด้วยผ้าแห้ง แล้วใช้ผ้าชุบน้ำยาทำความสะอาดมาเช็ดทุกซอกมุม ทิ้งให้โต๊ะแห้งแล้วจัดเก็บของใหม่โดยคัดแยกสิ่งต่าง ๆ ไปตามหมวดหมู่ พร้อมทำความสะอาดคอมพิวเตอร์ด้วย ปากกาหรือดินสอก็ต้องทำความสะอาดเพราะมือเราต้องสัมผัสเป็นประจำ โดยทั้งหมดนี้ควรทำอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง

อย่างไรก็ดี ด้วยความที่โควิด–19 กำลังระบาด การทำความสะอาดโต๊ะทำงานอาจจะต้องทำให้ดีมากขึ้นเพื่อลดการแพร่กระจายโรค แนะนำว่าหากเป็นพื้นผิวโลหะให้ใช้เป็นแอลกอฮอล์ 70% ทำความสะอาด แนะนำว่าให้ทิ้งผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ 3 – 5 นาทีแล้วขึงเช็ดให้แห้งด้วยผ้าที่ซักสะอาดแล้ว เท่านี้การทำงานของคุณก็จะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงปลอดภัยห่างไกลโรค
#243


หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจอยากใช้งานเครื่องฟอกอากาศ เพื่อลดปัญหามลภาวะในอากาศรูปแบบต่าง ๆ ทั้ง PM 2.5, เชื้อโรค, เชื้อแบคทีเรีย ฯลฯ ซึ่งมีสิ่งหนึ่งที่เราไม่อาจละเลยไปได้ก็คือเรื่องของพื้นที่วางตั้ง กระนั้นมีสิ่งที่เราต้องรู้ด้วยคือพื้นที่ต้องห้าม เพื่อการใช้งานที่ตอบโจทย์มีคุณภาพขั้นสุด แต่จะมีพื้นที่ไหนที่ห้ามวางบ้างเราไปติดตามพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า

พื้นที่ต้องห้ามที่ใครจะวางเครื่องฟอกอากาศต้องรู้

1. ไม่ควรวางไว้ที่หัวเตียง

พื้นที่ต้องห้ามแรกที่เราไม่ควรวาง Air Purifier เลยก็คือที่หัวเตียง เพราะเมื่อปล่อยอากาศบริสุทธิ์ออกมาเราจะหายใจเข้าไปได้ทันที แต่อาจหลงลืมไปบ้างว่าก่อนที่จะปล่อยอากาศบริสุทธิ์ออกมาเครื่องนี้จะทำหน้าที่ดูดเอาอากาศสกปรกเข้าไปนั่นเอง ซึ่งอากาศนั้นต้องผ่านเรา ทำให้เราก็จะสูดดมเอาฝุ่นเข้าไปเต็ม ๆ

2. วางให้ห่างจากผนัง 10 ซม.

เป็นอีกตำแหน่งที่เราต้องรู้อย่างมากก็คือการที่วางแบบไม่ชิดผนังมากเกินไป ซึ่งไม่ควรทำเลยอย่างยิ่ง เพราะเครื่องจะดูดเอาอากาศจากทุกทิศมาได้ แล้วช่องว่างที่มีก็จะน้อยเกินไปด้วย ทำให้เกิดฝุ่นและคราบสะสมขึ้นที่ผนังได้ ถ้าจะวางจริง ๆ แนะนำให้วางห่างจากผนัง 10 ซม. ดีที่สุด

3. ไม่ควรวางไว้ที่ใต้เครื่องปรับอากาศ

เครื่องกรองอากาศนั้นไม่ควรเอามาวางไว้เลยที่ใต้เครื่องปรับอากาศเพราะเครื่องปรับอากาศจะดูดเอาอากาศบริเวณนั้นเข้าเครื่องอีกที ทำให้เราได้อากาศที่บริสุทธิ์ แต่จริง ๆ แล้วนั้นมีการดูดขึ้นที่สูงกว่านั้น หากเราเอาไปวางใต้เครื่องปรับอากาศเท่ากับว่าอากาศเหล่านั้นจะถูกดูดเข้าไปในเครื่อง ทำให้ไม่มีประโยชน์อะไร แนะนำว่าเอาวางไว้ตรงข้ามกับเครื่องปรับอากาศแทนดีที่สุด

4. อย่าลืมเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศตามกำหนด

แผ่นกรองอากาศถือเป็นสิ่งที่สำคัญแม้จะไม่ได้เป็นตำแหน่งการวางแต่เพื่อการใช้งานที่มีประสิทธิภาพสูงจึงควรใส่ใจด้วย เมื่อเราใช้งานไปสักระยะฝุ่นที่ดูดมาก็ติดที่แผ่นกรอง เราต้องตรวจสอบดี ๆ ว่าฝุ่นหนาแน่นอยู่มากน้อยแค่ไหน สามารถกรองอากาศได้อยู่อีกไหม ถ้าเห็นว่ามีฝุ่นหนาก็รีบเปลี่ยนไส้กรองอากาศทันที หรือไม่รู้จะเปลี่ยนตอนไหนก็เอาเป็นว่าทุก ๆ 6 เดือนเลยดีที่สุด

ใครที่รู้ตัวว่าเข้าข่ายการวางเครื่องฟอกอากาศที่ผิดตำแหน่งไป อย่ารอช้าที่จะปรับเปลี่ยนตำแหน่งการวางใหม่เอาให้เหมาะสมที่สุด เพื่อช่วยให้เกิดผลลัพธ์ด้านสภาพอากาศที่ดีต่อร่างกายเรา ส่วนใครที่ยังไม่เคยมีและกำลังจะมีเชื่อว่าการวางที่ดีตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น
#244


กลายเป็นเครื่องช้ำไฟฟ้าที่หลาย ๆ บ้านมีใช้งานกันเลยจริง ๆ กับ "เครื่องทำน้ำอุ่น" แต่ถึงอย่างนั้นจะรีบตัดสินใจเลือกก็คงไม่ได้ เพื่อให้เกิดความปลอดภัย และใช้งานได้เหมาะสมกับบ้านมากที่สุด การศึกษาถึงวิธีการเลือกซื้อเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามเด็ดขาด และเราก็มีมาแนะนำอย่างละเอียดอีกเช่นเคย

5 วิธีง่าย ๆ ในการเลือกซื้อเครื่องทำน้ำอุ่นใช้งานที่บ้าน

1. พิจารณากำลังไฟที่บ้านให้ดี

อย่างแรกที่เราต้องรู้ก่อนเลยก็คือเรื่องของกำลังไฟที่บ้าน โดยที่เครื่องช่วยทำน้ำอุ่นนั้นมีกำลังไฟที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับการใช้งาน ก่อนเลือกซื้อจึงจำเป็นต้องตรวจดูกำลังไฟให้ถี่ถ้วนสังเกตจากมิเตอร์ไฟก็ได้ เช่น บ้านที่มีมิเตอร์ไฟฟ้า 5(15) ก็ควรเลือกใช้เครื่องที่ทำน้ำอุ่นกำลังไฟไม่เกิน 3,500 วัตต์ แต่ถ้าบ้านไหนที่มิเตอร์ไฟฟ้าขนาด 15(45) ควรเลือกใช้เครื่องที่มีกำลังไฟไม่เกิน 4,500 หรือ 6,500 วัตต์

2. ความต้องการใช้งาน

ไม่ว่าจะเป็นเครื่องทำน้ำอุ่น ยี่ห้อไหนดีก่อนซื้อเราควรดูการใช้งานของตัวเองเสมอ อย่าง อาศัยที่ไหน เช่น คอนโด บ้าน หรือมีครอบครัวสมาชิกกี่คน มากน้อยแค่ไหน ต้องการใช้น้ำอุ่นอาบน้ำนานแค่ไหน หากใช้บางช่วงเวลา แนะนำเป็นแบบ single ที่ให้ความร้อน 1 ตัวต่อ 1 จุดดีกว่า แต่หากครอบครัวใหญ่ อาบหลายจุดในบ้าน ควรเลือกแบบ Multi Point ที่ให้ความร้อนได้หลายจุดพร้อมกัน ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้น

3. ความปลอดภัยในการใช้งาน

เครื่องทำน้ำอุ่น ราคาถูกเกินไปก็ใช่ว่าจะมีการใช้งานที่ดี โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยอาจจะยากที่สุด ควรมองหาเครื่องที่สามารถตัดกระแสไฟฟ้าให้เองเลยอัตโนมัติเมื่อเกิดการใช้ไฟเกินขนาด หรือไฟฟ้ารั่ว หรือระบบตัดการทำงานเมื่ออุณหภูมิน้ำสูงเกินไป หรือความปลอดภัยเล็ก ๆ น้อยที่ควรใส่ใจ เช่น สายไฟควรมีมาตรฐาน มีระบบป้องกันหม้อทำความร้อนไหม้ได้, ตัวเครื่องมาพร้อมยางที่ป้องกันน้ำเข้าทางช่องร้อยสายไฟ เป็นต้น

4. วัสดุที่ใช้กับหม้อต้ม

เป็นอีกสิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนซื้อ เพราะหม้อต้มของเครื่องช่วยทำน้ำอุ่นมีหลากหลาย เช่น หม้อทองแดง หม้อต้มแบบพลาสติก หรือหม้อต้มที่มีขดลวดทองแดงให้ความร้อน ฯลฯ โดยที่แต่ละหม้อต้มก็จะมีผลลัพธ์การใช้งานที่ต่างกัน จุดเด่น จุดด้อย แน่นอนว่าต้องหาข้อมูลก่อนซื้อ

นอกจากนี้ อีกสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ก็คือการเลือกซื้อเครื่องทำน้ำอุ่นที่ควรซื้อยี่ห้อที่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรองรับการใช้งานที่ปลอดภัย กับร้านที่ได้มาตรฐาน มีบริการหลังการขายด้วยยิ่งดี หรือที่มีศูนย์ซ่อมติดต่อง่าย พนักงานสามารถให้คำตอบ หรือให้ข้อมูลเราได้อย่างเชี่ยวชาญ พร้อมดูแลเราอย่างใกล้ชิด พาให้อุ่นใจกว่าเคย
#245


รางน้ำฝนที่เห็นโดยทั่วไปนั้นมีให้เลือกหลากหลายชนิดมาก แต่ที่ดูจะเป็นความสนใจคงหนีไม่พ้น 2 ตัวเต็งอย่างชนิดไวนิล หรือ PVC และแบบสเตนเลส ทำให้บางคนที่เพิ่งคิดจะคิดตั้งเกิดความสงสัยว่าทั้ง 2 ชนิดนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อให้การเลือกใช้งานตอบโจทย์มากที่สุด เรามี 5 ความแตกต่างมาเล่าสู่กันฟังอย่างละเอียด

5 ความแตกต่างของรางน้ำฝนไวนิล VS สเตนเลส

1. คุณภาพของรางน้ำ

เริ่มต้นกันที่เรื่องของคุณภาพ หรือคุณสมบัติของรางน้ำก่อนเลย โดยทั่วไปแล้วคุณภาพรางสเตนเลสนั้นจะมีความทนทานมากกว่าไวนิล หรือ PVC แต่ปัจจุบันมีหลายร้านที่ลดสเปคของสเตนเลสเกรดที่ต่ำกว่ามาใช้งาน และยากต่อการมองเห็นเอง มีความบาง ไม่ค่อยทน ราคาถูกจริง แต่ก็แลกมากับอายุการใช้งานที่สั้นได้ ต่างจากรางไวนิลที่วัสดุเป็นแบบสังเคราะห์ ได้โรงงานผลิตที่มีมาตรฐาน หมดกังวลเรื่องมาตรฐานวัสดุไปได้เลย

2. เรื่องงานดีไซน์โดดเด่นกว่า

ในการใช้งานรางไวนิลนั้นจะมีความเรียบแข็ง ดีไซน์สวยงามมากกว่า และทำเป็นสีที่พร้อมใช้งานมาจากโรงงานผลิตเลย มีหลากหลายรูปทรง ทำให้สามารถเลือกใช้งานตอบโจทย์มากกว่า ยิ่งบ้านที่ออกแบบแนวโมเดิร์นก็จะเลือกติดตั้งรางชนิดนี้ได้ง่ายมากกว่า ส่วนรางสเตนเลสนั้นจะเป็นลักษณะผิวมัน โลหะวาว ไม่แนะนำให้ทาสีเพื่อจะลดความสามารถในการทนทาน จึงดูโดดเด่นและจับคู่กับสีหลังคาได้ยากกว่า

3. ติดตั้งรางไวนิลเสียงไม่ดัง

เมื่อเลือกติดตั้งรางไวนิล หรือรางน้ำฝน pvc แล้วนั้นด้วยความที่เป็นพลาสติกเมื่อฝนตกกระทบก็จะไม่ทำให้เกิดเสียงดัง แน่นอนว่ามีความแตกต่างจากรางสเตนเลสมาก ๆ เพราะด้วยความที่เป็นสเตนเลสเมื่อโดนน้ำก็จะเกิดเสียง หรือแม้แต่ช่วงบ่ายเองก็มีเสียงที่สเตนเลสขยายตัวค่อนข้างดังเป็นระยะ ทำให้อาจเกิดความรำคาญได้

4. ติดตั้งได้ง่าย ซ่อมแซมสะดวก

สุดท้ายก็คือในการติดตั้งรางไวนิลจะทำได้ง่ายมากกว่า เพราะเป็นรางน้ำฝนสำเร็จรูปที่ขนาดเป็นมาตรฐาน อุปกรณ์ที่ใช้ก็จะเป็นชิ้นส่วนราง หรือมีที่แขวนราง มีการนำชิ้นส่วนไปประกอบแล้วใช้ซิลิโคนเชื่อมต่อ ทำให้มีรอยเชื่อมน้อยมาก จึงง่ายต่อการซ่อมแซมไปในตัว แต่หากเป็นรางน้ำฝนสเตนเลสแล้วจะมีการเชื่อมประสานงานแต่ละส่วนก่อน หากไม่ได้ช่างเชื่อมที่มีทักษะก็มีโอกาสที่รอยเชื่อมจะสร้างปัญหารั่ว แตกร้าวได้

เมื่อรู้ถึงความแตกต่างของรางน้ำฝนทั้ง 2 ชนิดนี้ หวังว่าทุก ๆ คนที่อยากติดตั้งรางเพื่อการใช้งานที่ราบรื่น จะสามารถเลือกชนิดที่ตอบโจทย์ให้ตัวเองได้แล้ว กระนั้นอย่าลืมเลือกร้านขายที่ดีมีมาตรฐานด้วย เพื่องานที่สมบูรณ์แบบ ไม่เกิดปัญหารั่ว ร้าวตามมาภายหลังได้
#246


อุปสรรคเมื่อเข้าสู่ช่วงหน้าฝนอีกเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ก็คือการซักผ้า ที่บางคนต้องย้ายไปย้ายมาเพื่อให้ถูกแดด และไม่ให้ถูกฝนในวันเดียวกัน ยิ่งใครที่อยู่คอนโด หรืออพาร์ตเม้นท์ยิ่งกลุ้มเพราะผ้าแห้งไม่ทันมีถมเถ จึงเกิดความคิดขึ้นมาว่าถ้าจะเลือกเครื่องอบผ้าแต่ก็ดันมีที่เป็นเฉพาะเครื่องอบ และเครื่องซักที่มีให้อบผ้าด้วย กลายเป็นลังเลไม่รู้จะซื้อแบบไหนดีกว่า เราจึงไม่รอช้ารวบรวมข้อมูลมาแนะนำ

เครื่องอบผ้า VS เครื่องซักผ้าอบผ้า แตกต่างกันอย่างไร?

จริง ๆ แล้วนั้นเครื่องซักผ้าจะมีระบบปั่นหมาดอยู่ในตัว แต่ก็จำเป็นต้องเอาไปตากแห้งอยู่ดี และในช่วงหน้าฝนแบบนี้แทบจะตกกันทุกวันเลยเชียว เครื่องช่วยอบผ้าจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้ผ้าของเราแห้งไว แห้งง่ายมากขึ้น และยังช่วยประหยัดเวลาในการตากผ้าไปอีก กระนั้นก็มีเป็นเครื่องซักผ้าอบผ้าให้เราใช้งานด้วย โดยที่เราสามารถใช้งานซักและงานอบในเครื่องเดียวได้เลย ไม่ต้องแยกกันทำให้สะดวกรวดเร็วได้มากขึ้น

1. เครื่องช่วยอบผ้า

สำหรับเครื่องช่วยอบผ้านี้นั้นจะมีระบบการทำงานที่แยกจากกันอย่างชัดเจน โดยที่ใช้มอเตอร์คนละตัว ทำให้การทำงานของเครื่องไม่มากนัก และอายุการใช้งานก็ยาวนานกว่ามากด้วย ในระหว่างที่กำลังอบผ้านั้นก็ยังสามารถซักผ้าไปด้วยได้ และสามารถซักได้ในปริมาณที่เยอะ

เหมาะกับคนที่อาศัยอยู่ในบ้าน หรือมีพื้นที่วางตั้งเยอะ เพราะตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ และครอบครัวที่มีสมาชิกเยอะ ต้องซักผ้าเยอะ แต่กระนั้นก็อาจมีเสียเวลาบ้างที่ต้องรอให้ผ้าซักเสร็จแล้วเอามาใส่ที่เครื่องอบต่อ

2. เครื่องซักผ้าอบผ้า

จะมีส่วนช่วยประหยัดพื้นที่ได้มากกว่า สามารถใช้งานได้ 2 ฟังก์ชันในเครื่องเดียวจบโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนผ้าลงอีกเครื่อง ประหยัดเวลาได้ดีไม่ว่าจะซักผ้าหรืออบผ้า และเรื่องราคาหากเป็นเครื่องอบผ้า ราคาสูงกว่าเพราะต้องมีการแยกเครื่องชัดเจน แต่หากเป็นเครื่องซักอบผ้าก็จะถูก เพราะใช้งานเครื่องต่อได้เลย

อย่างไรก็ตามเหมาะกับคนที่อาศัยอยู่คอนโด หรือบ้านที่พื้นที่เล็ก จำกัดเนื่องจากเป็นแบบ 2 in 1 ก็จะต้องให้รอบปริมาณการซัก + อบที่เหมาะสม ใส่ผ้าเยอะทำให้เครื่องทำงานหนักเกินไปได้ และต้องรอซักเสร็จก่อนจึงจะอบผ้าต่อได้

ทั้งหมดนี้ก็เป็นความน่าสนใจของทั้งเครื่องอบผ้า และเครื่องซักผ้าอบผ้าที่มีทั้งจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกัน จริง ๆ เราสามารถเลือกใช้เครื่องที่คิดว่าเหมาะสมกับเราที่สุดได้เลย ไม่มีผิดถูก เพราะแต่ละคนย่อมมีความต้องการซักผ้าที่ต่างกันอยู่แล้ว บวกกับปัจจัยโดยรอบ เช่น พื้นที่ หรือสมาชิกที่อยู่ด้วยมากน้อย ลองเลือกกันเลย